วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

 การโต้วาที
     การโต้วาที เป็นการอภิปรายอย่างหนึ่ง โดยผู้อภิปรายใช้วาทศิลป์ของตน โน้มน้าวใจผู้ฟังคล้อยตามและใช้เหตุผลหักล้างเอาชนะฝ่ายตรงข้าม

องค์ประกอบของการโค้วาที
   ๑.ญัตติในการโต้วาที
   ๒.ผู้โต้วาที
   ๓.ประธานการโต้วาที หรือ ผู้ดำเนินการโต้วาที
   ๔.กรรมการ
   ๕.ผู้ฟัง
   ๖.ระเบียบวิธีการโต้วาทีี

๑.ญัตติในการโต้วาที ญัตติ คือ หัวข้อที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการโต้วาทีญัตติควรเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม อยู่ในความสนใจของผู้ฟังที่ทั้งสองฝ่าย สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งกันหรือหักล้างกันได้เป็นเรื่องที่แสดงถึงสติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบ นอกจากนี้ญัตติควรมีความกะทัดรัดชัดเจน ไม่ควรตั้งเป็นคำถาม
ตัวอย่างญัตติที่น่าสนใจ
     ๑.วัฒนธรรมไทยศิวิไลซ์กว่าวัฒนธรรมตะวันตก
     ๒.เรียนเมืองไทยดีกว่าไปเรียนเมืองนอก
     ๓.ใช้เงินสดดีกว่าใช้เงินเครดิต
     ๔.เกษตรกรรมดีกว่าอุตสาหกรรม
     ๕.เรียนมหาวิทยาลัยเปิดดีกว่ามหาวิทยาลัยปิด

๒.ผู้โต้วาทีคือผู้ที่ทำการโต้วาที แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย  คือ ฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน ซึงมีหัวหน้า ๑ คน และโดยทั่วไป ผู้สนับสนุนอีกฝ่ายละ ๓ คน ดังนี้
       ฝ่ายเสนอ                                        ฝ่ายค้าน
๑)   หัวหน้าฝ่ายเสนอ                          ๑)  หัวหน้าฝ่ายค้าน
๒)  ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๑             ๒)  ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๑
๓)  ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๒             ๓)  ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๒
๔)  ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๓             ๔)  ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๓
ลักษณะของผู้โต้วาทีที่ดี
   ๑.มีความรอบรู้และมีประสบการณ์มาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความรู้ในญัตติดี
   ๒.ผู้โต้วาทีจึงต้องค้นคว้าหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นที่จะโต้วาทีให้พร้อม
   ๓.มีเหตุผลและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
   ๔.มีวาทศิลป์และไหวพริบในการพูดโน้มน้าวใจผู้ฟังให้คล้อยตาม
   ๕.มีมารยาทในการพูด ไม่พูดเสียดสี ยกยอ หรือเอาเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นขึ้นมาพูด
   ๖.มีความรับผิดชอบในศีลธรรมและวัฒนธรรม ระมัดระวังการใช้ภาษาที่เหมาะสมสุภาพ
   ๗.คำนึงประโยชน์ของผู้ฟังไม่ควรพูดเล่นมากเกินไป ต้องให้สารประโยชน์แก่ผู้ฟังด้วย
แนวปฏิบัติของผู้โต้วาทีแต่ละฝ่าย  มีขั้นตอนดังนี้
หัวหน้าฝ่ายเสนอ
   - กล่าวทักทายผู้ฟัง
   - เสนอญัตติ
   - แปรญัตติหรือให้ความหมาย
   - ให้เหตุผลสนับสนุนญัตติดังกล่าว
   - อธิบายรายละเอียดข้อปลีกย่อย
   - ยกตัวอย่าง  อุทาหรณ์ คำกล่าว ฯลฯ  ประกอบการสนับสนุน
   - เน้นสรุปประเด็นสำคัญ
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ
   - กล่าวทักทายผู้ฟัง
   - อธิบายสนับสนุนหัวหน้าฝ่ายเสนอ
   - อธิบายข้อเสนอด้วยการหาเหตุผลเพิ่มเติม
   - แย้งคู่โต้เป็นประเด็นๆ
   - เน้นสรุปประเด็นสำคัญ
หัวหน้าฝ่ายค้าน
   - กล่าวทักทายผู้ฟัง
   - พยายามชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในการแปรญัตติและการให้เหตุผลของฝ่ายเสนอ
   - โต้แย้งประเด็น โดยยกเหตุผลประกอบ
   - ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงเพื่อหักล้างให้เห็นว่า ไม่เป็นไปตามญัตติ
   - เสนอแนะสิ่งที่ดีของฝ่ายตน
   - เน้นสรุปประเด็นสำคัญ            
ผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน
   - กล่าวทักทายผู้ฟัง
   - หาเหตุผลข้อเท็จจริงสนับสนุนหัวหน้าฝ่ายค้าน
   - พูดโต้แย้งข้อเสนอของผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ
   - นำสถิติ คำคม ข้อเท็จจริงมายืนยัน
   - เน้นสรุปประเด็นสำคัญ

 
๓. ประธานการโต้วาที หรือ ผู้ดำเนินการโตวาที มีหน้าที่เป็นพิธีกรและดำเนินการโต้วาทีให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่กำหนด
คุณสมบัติของประธานการโต้วาที หรือผู้ดำเนินการโต้วาที  มีดังนี้
   ๑.มีวาทศิลป์และปฏิภาณไหวพริบดี
   ๒.ความรอบรู้เข้าใจญัตติและรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้โต้
   ๓.มองโลกในแง่ดี มีจิตวิทยา รู้จักสร้างบรรยากาศ ด้วยอารมณ์ขัน
   ๔.มีความรู้และเข้าใจระเบียบแบบแผนการโต้วาที
   ๕.วางตัวเป็นกลางไม่แสดงความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใด

หน้าที่ของประธานการโต้วาที หรือผู้ดำเนินการโต้วาที
   1. กล่าวเปิดการโต้วาที แจ้งญัตติที่จะโต้วาทีให้ผู้ฟังได้ทราบ
   2. กล่าวแนะนำผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย  โดยเริ่มจากหัวหน้าฝ่ายเสนอผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอทุกคน แล้วจึงแนะนำหัวหน้าฝ่ายค้าน
โดยสนับสนุนฝ่ายค้านทุกคน   โดยกล่าวแนะนำ ให้ผู้ฟังได้ทราบว่าผู้โต้ว่าทีทั้งสองฝ่ายเป็นใครมีความสามารถเกี่ยวกับการพูดในญัตตินั้น ๆ อย่างไรและแนะนำกรรมการผู้ตัดสินด้วย
   3. ชี้แจงเกี่ยวกับญัตติการโต้วาที   ในลักษณะเกริ่นให้ทราบ และกำหนดเวลาในการพูด ของการ โต้  วาทีแต่ละคน
   4. เชิญให้ผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่ายขึ้นมาพูดเรียงลำดับดังนี้   หัวหน้าฝ่ายเสนอหัวหน้าฝ่ายค้าน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่  ๑    ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่  ๑   ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่  ๒
ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่  ๒  สลับกันไปจนครบทุกคน    แล้วจึงเชิญหัวหน้าของทั้งสองฝ่าย
ขึ้นมากล่าวอีกครั้งหนึ่ง   ในการกล่าวสรุปนี้   หัวหน้าฝ่ายค้านจะเป็นผู้สรุปก่อนหัวหน้าฝ่ายเสนอ
   5. เมื่อหัวหน้าทั้งสองฝ่ายกล่าวสรุปแล้วประธานเป็นผู้ประกาศผลของการโต้วาทีโดยฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ  และแจ้งให้ผู้โต้วาทีและผู้ฟังทราบ   แล้วกล่าวขอบคุณผู้ร่วมโต้วาทีทุกคน

๔.  กรรมการ    การโต้วาทีเป็นการพูดเพื่อเอาแพ้เอาชนะกัน  จึงต้องมีกรรมการทำหน้าที่ตัดสินกรรมการควรเป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องวาทศิลป์และเป็นผู้มีความรู้ในญัตติและกระบวนการโต้วาที เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรรมการจะต้องไม่มีอคติต่อผู้โต้วาทีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง   ส่วนมากในการโต้วาทีแต่ละครั้งจะใช้กรรมการ  ๓  หรือ  ๕  คน

๕.   ผู้ฟัง  คือผู้ที่เข้าร่วมฟังการโต้วาที ซึ่งมีหลักปฏิบัติ ดังนี้
     ๑.  มีมารยาทในการฟัง เช่น ปรบมือให้เกียรติ หัวเราะอย่างสุภาพ ไม่พูดคุย หรือ แสดงกิริยาไม่เหมาะสม ฯลฯ
     ๒.  ฟังด้วยความสนใจและติดตาม 
     ๓.  สังเกตการณ์พูด การใช้ภาษา ท่าทางของผู้โต้ เพื่อนำไปใช้กับการพูดของตนเอง

๖.  ระเบียบและวิธีการโต้วาที    ได้แก่   กระบวน    การกำหนดเวลา     การจัดสถานที่   และ       การตัดสินใจ

กระบวนการการโต้วาที  มีดังนี้
     - ประธานหรือผู้ดำเนินการโต้วาทีกล่าวอรัมภบท  แนะนำผู้โต้วาที  และเชิญผู้โต้แต่ละคนออกมาพูด
     - หัวหน้าฝ่ายเสนอขึ้นมาพูดก่อน และหัวหน้าฝ่ายค้านพูดเป็นคนที่สอง โดยใช้เวลาเท่าๆกัน
     - ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้านขึ้นมาพูดสลับกัน ฝ่ายละคนตามลำดับจนครบ
     - หัวหน้าฝ่ายค้านกล่าวสรุปก่อน แล้วหัวหน้าฝ่ายเสนอสรุปเป็นคนสุดท้ายผู้ดำเนินการกล่าวอีกครั้ง แจ้งผลการตัดสินและกล่าวปิดการโต้วาที
 
วาทศิลป์   คือ   ศิลปะในการใช้วาทะ พูดจาให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างมีอรรถรส ได้ทั้งข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นคำคม มีแง่มุมชวนหัวชวนฮา  มีศิลปะในการใช้ภาษาที่ชักจูงให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม เห็นดีเห็นงามไปกับข้อคิดเห็น ข้อมูลต่างๆ ที่เสนอไป

มารยาท  คือ  การกระทำที่ไม่ทำให้ผู้ใดรู้สึกอึดอัดใจ รังเกียจ เกลียดชัง  หรือพูดจาก้าวร้าว  ล่วงเกินต่อกัน การโต้วาทีในเรื่องของมารยาทมีข้อห้าม ไว้ดังนี้
     1. อย่าอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์  หรือลัทธิความเชื่อบางอย่าง
     2. อย่าใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่สุภาพ
     3. อย่านำเอาเรื่องส่วนตัว ของฝ่ายตรงข้ามมาพูด เว้นแต่เรื่องที่ดี
     4. อย่าแสดงอาการที่ไม่พอใจฝ่ายตรงข้าม  ต้องมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แสดงความเป็นมิตรต่อฝ่ายตรงข้ามและผู้ฝังเสมอ
     5. อย่าออกชื่อจริงของผู้โต้วาที ควรบอกชื่อตำแหน่งขณะโต้วาทีเท่านั้น เช่น หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้านผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๑ ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๒
     6. อย่าพูดเกินเวลาที่กำหนดให้






วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ระดับภาษา

ลักษณะภาษาในระดับต่างๆภาษาที่ใช้ในระดับต่างๆ มีลักษณะแตกต่างกันดังนี้
      ๑. ภาษาระดับพิธีการ ผู้ใช้ภาษาระดับพิธีการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญต่างๆ ผู้รับสารเป็นบุคคลกลุ่มใหญ่ ใช้การส่งสารผ่านสื่อสารมวลชน หรือในที่ประชุมชน ภาษาระดับนี้มีการเลือกถ้อยคำที่สุภาพสละสลวย สถานการณ์ที่ใช้ภาษาระดับพิธีการ ได้แก่ คำกล่าวในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เช่น สุนทรพจน์ โอวาท ปาฐกถาคำกล่าวสดุดี คำไว้อาลัย คำกล่าวปราศรัย การแนะนำบุคคลสำคัญ บทร้อยกรองที่ต้องการจรรโลงใจให้ข้อคิด

      ๒. ภาษาระดับทาง การ ภาษาระดับนี้ใช้ในการสื่อสารในวงการวิชาการ หรือวงการอาชีพเดียวกัน ผู้รับสารกับผู้ส่งสารมีความสัมพันธ์กันในด้านหน้าที่การงาน สถานการณ์ที่ใช้ภาษาระดับทางการ ได้แก่ งานเขียนทางวิชาการสาขาต่างๆ งานเขียนในแวดวงอาชีพเดียวกัน เอกสารของราชการ เช่น รายงานการประชุม  จดหมายราชการ คำสั่งประกาศ การประชุมปรึกษาในวาระสำคัญ การเขียนข้อสอบอัตนัย การเป็นพิธีกรรายการที่มีสาระ


      ๓. ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับนี้ใช้ในการสื่อสารกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันวงการ วิชาการหรือวงการอาชีพ สถานการณ์ที่ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ ได้แก่ งานเขียนในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น วารสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์ บทบรรยายในนวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร จดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ จดหมายส่วนตัวที่เขียนถึงบุคคลซึ่งไม่คุ้นเคยกัน การประชุมภายในหน่วยงาน การพูดโทรศัพท์กับบุคคลทั่วไป การเป็นพิธีกรรายการบันเทิง

      ๔. ภาษาระดับสนทนาหรือระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้ใช้ในการสื่อสารกับบุคคล ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น เพื่อน ญาติ การเรียบเรียงภาษาไม่เคร่งครัดตามหลักไวยากรณ์มากนัก สถานการณ์ที่ใช้ภาษาระดับสนทนา ได้แก่ การสนทนากับบุคคลทั่วไป บทสนทนาใน นวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร จดหมายส่วนตัวที่เขียนถึงบุคคลที่มีความสนิทสนมกัน การรายงานข่าวชาวบ้านในรายการโทรทัศน์ การเขียนบันทึกส่วนตัว การเขียนบทความในหนังสือพิมพ์

      ๕. ภาษาระดับกันเองหรือระดับปาก ภาษาระดับนี้ใช้ในการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก เป็นพิเศษ เช่น เพื่อนสนิท ลักษณะภาษาอาจมีคำไม่สุภาพปะปนอยู่บ้าง สถานการณ์ที่ใช้ภาษาระดับกันเอง เช่น การสนทนากับบุคคลที่มีความใกล้ชิดกันมาก การเขียนบทสนทนาในนวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร การเขียนจดหมายติดต่อสื่อสารกับเพื่อนสนิท การเขียนพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์


ปัจจัยที่กำหนดระดับภาษา
      ๑. โอกาสและสถานที่ เช่น ถ้าสื่อสารกับบุคคลกลุ่มใหญ่ในที่ประชุมก็จะใช้ภาษาระดับหนึ่ง ถ้าพูดกันในตลาดร้านค้าภาษาก็จะต่างระดับกันออกไป


      ๒. สัมพันธภาพระหว่างบุคคล เช่น บุคคลที่ไม่เคยรู้จัก บุคคลที่เพิ่งรู้จัก บุคคล ที่เป็นเพื่อนสนิท เป็นปัจจัยให้ใช้ภาษาต่างระดับกัน แต่อย่างไรก็ตามต้องยึดหลักพิจารณาโอกาสและสถานที่ด้วย



      ๓. ลักษณะของเนื้อหา เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ไม่นำไปใช้กับภาษาแบบแผน หรือภาษาที่เป็นทางการ

      ๔. สื่อที่ใช้ในการส่งสาร เช่น จดหมายปิดผนึกกับไปรษณียบัตร ระดับภาษาที่ใช้ต้องตรงกัน เมื่อพูดด้วยปากกับพูดด้วยเครื่องขยายเสียงหรือพูดทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ ระดับภาษาที่ใช้ย่อมแตกต่างกัน


วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คำไวพจน์

คำไวพจน์

      คำไวพจน์ คือคำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้ในบริบทต่าง ๆ กัน หรือเรียกอีกอย่างว่า คำพ้องความ ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2552 ให้คำอธิบายว่า "คำที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมาก เช่น มนุษย์ กับ คน บ้าน กับ เรือน รอ กับ คอย ป่า กับ ดง คำพ้องความ ก็ว่า" (พจนานุกรม 2542 หน้า 1091)
 
พระพุทธเจ้า
      >> พระสัมมาสัมพุทธเจ้า               >> พระสัพพัญญู
      >> พระโลกนาถ                          >> พระสุคต
      >> พระผู้มีพระภาคเจ้า                  >> ชินศรี
      >> พระสมณโคดม                       >> พระศากยมุนี
      >> พระธรรมราช                          >> พระชินสีห์
      >> พระทศญาณ                          >> มารชิต
      >> โลกชิต                                 >> พระทศพลญาณ
      >> พระตถาคต                            >> พระชินวร
สวรรค์
      >> ไตรทิพย์                               >> สรวง
      >> ไตรทศาลัย                            >> สุราลัย
      >> สุริยโลก                                >> ศิวโลก
      >> สุขาวดี                                  >> สุคติ
      >> เทวโลก
เทวดา
      >> เทพ                                      >> เทวินทร์
      >> อมร                                      >> สุรารักษ์
      >> แมน                                      >> เทว
      >> เทวัญ                                    >> นิรชรา
      >> เทวา                                     >> ไตรทศ
      >> ปรวาณ                                  >> สุร
พระเจ้าแผ่นดิน
      >> บดินทร์                                  >> นโรดม
      >> นฤเบศน์                                 >> เจ้าหล้า
      >> ภูมินทร์                                  >> ภูบาล
      >> ภูบดินทร์                                >> ธรารักษ์
      >> นรินทร์                                   >> นฤบดี
      >> จอมราช                                 >> ท่านไท้ธรณี
      >> ขัตติยวงศ์                               >> ธรณีศวร
      >> ราเชนทร์                                >> ท้าวธรณิศ
      >> ไท้ธาษตรี                               >> ปิ่นเกล้าธาษตรี
พระอาทิตย์
      >> ทิพากร                                  >> ทิวากร
      >> ทินกร                                    >> ภาสกร
      >> รวิ                                         >> รวี
      >> รพิ                                        >> ระพี
      >> ไถง                                      >> ตะวัน
      >> อาภากร                                 >> อังศุมาลี
      >> สุริยะ                                    >> สุริยา
      >> สุริยัน                                    >> สุริยน
      >> สุริยง                                     >> ภาณุ
      >> ภาณุมาศ                                >> อุษณรศมัย
      >> ทยุมณี                                   >> อหัสกร
      >> พรมัน                                    >> ประภากร
พระจันทร์
      >> เดือน                                    >> ศศิ
      >> ศศิธร                                    >> บุหลัน
      >> โสม                                      >> นิศากร
      >> แข                                       >> กัษษากร
      >> นิศาบดี                                 >> รัชนีกร
      >> ศิวเศขร
น้ำ
      >> คงคา                                    >> นที
      >> สินธุ์                                     >> สาคร
      >> สมุทร                                   >> ชลาลัย
      >> อุทก                                     >> ชโลทร
      >> อาโป                                    >> หรรณพ
      >> ชลธาร                                  >> ชลาศัย
      >> ชลธี                                     >> ธาร
      >> ธารา                                     >> สลิล
ปลา
      >> มัจฉา                                    >> มัสยา
      >> มัจฉาชาติ                               >> มิต
      >> ชลจร                                    >> วารีชาติ
      >> อัมพุชา                                  >> มีน
      >> มีนา                                      >> ปุถุโลม
ผู้หญิง
      >> อรไท                                    >> แก้วตา
      >> ดวงสมร                                 >> นงคราญ
      >> นงพะงา                                 >> บังอร
      >> ร้อยชั่ง                                   >> สตรี
      >> สายสมร                                 >> อนงค์
      >> อิสตรี                                    >> กัญญา
      >> กันยา
นก
      >> ทวิช                                      >> บุหรง
      >> สกุณ                                     >> สกุณี
      >> วิหค                                      >> สกุณา
      >> ปักษี                                     >> ทิชากร
      >> ปักษิณ                                  >> ทวิชาชาติ
      >> ปักษา
ช้าง
      >> หัสดี                                     >> กุญชร
      >> คช                                       >> กรี
      >> ดำริ                                      >> คชินทร์
      >> คชาธาร                                 >> หัตถี
      >> คเชนทร์                                >> หัสดินทร์
      >> กรินทร์                                  >> ไอยรา
      >> สาร                                      >> วารณ
      >> คชา


ที่มา http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/15903.html

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สมบัติวรรณคดีไทย



สมบัติวรรณคดีของไทย

ความหมายของวรรณคดี

     วรรณคดี หมายถึง หนังสือที่มีคุณค่าทั้งด้านเนื้อหาและศิลปะการแต่งและได้รับความนิยมมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งสามารถบ่งบอกลักษณะได้ดังนี้
          ๑.๑   มีเนื้อหาดี มีประโยชน์และเป็นสุภาษิต
          ๑.๒ มีศิลปะการแต่งที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านศิลปะ  การใช้คำศิลปะการใช้โวหาร  และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
          ๑.๓ เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมและสืบทอดกันมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี
 *** รู้หรือไม่ !!!
วรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้กำหนดประเภทของวรรณคดีไว้ ๕ ประเภทดังนี้
       ๑.   กวีนิพนธ์ ได้แก่ หนังสือที่แต่งด้วยร้อยกรอง (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลิลิต กลบท (กลอนกลบท ,โคลงกลบท ,ร่ายกลบท))
              ๒.    ละครไทย ได้แก่ หนังสือที่แต่งขึ้นด้วยกลอนบทละคร เช่น บทละครใน บทละครนอก
              ๓.    นิทาน ได้แก่ หนังสือเล่าเรื่องอย่างร้อยแก้วเป็นบันเทิงคดี เช่น สามก๊ก
              ๔.    ละครพูด ได้แก่ หนังสือที่แต่งเป็นบทละครพูด เช่น หัวใจนักรบ ,เห็นแก่ลูก
              ๕.    อธิบาย ได้แก่ หนังสือที่แต่งเป็นความเรียง มีเนื้อหาเป็นสารคดี เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน 
 *** รู้หรือไม่ !!!
      พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งวรรณคดีสโมสร ขึ้นเมื่อวันที่ 23กรกฎาคม พ.ศ.2457 และ วรรณคดีสโมสร ยุติบทบาทลงในปี พ.ศ.2468  
               วรรณกรรม หมายถึง 
สิ่งพิมพ์ทุกชนิดทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง ทั้งสั้นและยาว ทั้งดีและไม่ดี เกิดขึ้นนานแล้วหรือเพิ่งเกิดขึ้นก็ได้
              วรรณกรรมในโลกนี้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
๑.)   สารคดี หมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อมุ่งให้ความรู้ ความคิด ประสบการณ์แก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจใช้รูปแบบร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้
๒.) บันเทิงคดี คือ วรรณกรรมที่แต่งขึ้นเพื่อมุ่งให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน บันเทิงแก่ผู้อ่าน จึงมักเป็นเรื่องที่มีเหตุการณ์และตัวละคร
 
วรรณกรรมร่วมสมัย หมายถึง
          ๑.) หมายถึง หนังสือตั้งแต่ ๒ เล่มขึ้นไปที่เกิดในยุคสมัยเดียวกัน เช่น ไตรภูมิพระร่วง และสุภาษิตพระร่วง           
เป็นวรรณคดีร่วมสมัยกัน
          ๒.) หมายถึง หนังสือหรือสิ่งพิมพ์เล่มที่ผู้แต่งกับผู้อ่านมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันเหมือนกัน
เนื้อหาวรรณคดีของไทย
             -  วรรณคดีพระพุทธศาสนา  ซึ่งมุ่งแสดงหลักคำสอนและเน้นให้เห็นผลของความดีความชั่ว เช่น ไตรภูมิพระร่วง , นิทานชาดกเรื่องเวสสันดร , เสื่อโคคำฉันท์ , สมุทรโฆษคำฉันท์
             -  วรรณคดีสุภาษิตคำสอน  ซึ่งมุ่งแสดงแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนในสังคม เช่น สุภาษิตพระร่วง , โคลงทศรถสอนพระราม , โคลงพาลีสอนน้อง , กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ , สุภาษิตสอนหญิง , โคลงโลกนิติ , อิศริญาณภาษิต
             -  วรรณคดีเกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรม  ซึ่งมุ่งแสดงถึงศิลปะและวัฒนธรรม  ประเพณี เช่น พระราชพิธี 12 เดือน , ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง , โคลงทวาทสมาส 
             -  วรรณคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์  ซึ่ง มุ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพสังคมในสมัยนั้นๆ เช่น ลิลิตตะเลงพ่าย , ยวนพ่ายโคลงดั้น , โคลงเฉลิมพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี , ศิลาจารึก , พระราชพงศาวดาร(พระโหราธิบดี)
              - วรรณคดีเพื่อความบันเทิง ซึ่งมุ่งให้ความสนุกสนาน รวมทั้งเพื่อฟังเสียงไพเราะของคำประพันธ์ด้วย เช่น บทละครนอก , บทละครใน , บทละครร้อง , บทละครดึกดำบรรพ์ และบทละครพูด
              - วรรณคดีบันทึกความรู้สึกของผู้เดินทาง  ซึ่งบันทึกเส้นทางในการเดินทาง  สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน  ธรรมชาติตามเส้นทาง  รวมทั้งความรู้สึกของผู้เดินทาง เช่น กำสรวลโคลงดั้น , นิราศเมืองเพชร , นิราศเมืองแกรง , นิราศภูเขาทอง , นิราศพระบาท
  *** รู้หรือไม่ !!!
          ละครใน หมายถึง ละครที่มีแสดงเฉพาะในเขตพระราชฐาน(ในรั้วในวัง) และที่มีระเบียบแบบแผน สุภาพ มีความพิถีพิถันตามแบบแผนกษัตริย์จริงๆ เรียกว่า "ยืนเครื่อง" ทั้งตัวพระ และตัวนาง เช่น เรื่องอุณรุฑ อิเหนา และรามเกียรติ์ 
          ละครใน หมายถึง ละครที่มีแสดงนอกเขตพระราชฐาน(นอกรั้ว นอกวัง) นิยมเล่นกันหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นประเภทจักรๆ วงศ์ๆ นิทานชาวบ้าน นิทานชาดก มีคติสอนใจ เช่น สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ ไกรทอง มณีพิชัย คาวี และสังข์ศิลป์ชัย 
ความงามทางวรรณคดี
                ๑.  การเล่นเสียง  คือการสรรคำให้มีเสียงสัมผัสเป็นพิเศษกว่าปกติ  เพื่อให้เกิดทำนอง  เสียงที่ไพเราะน่าฟัง  และอวดฝีมือของกวี  มีทั้งการเล่นเสียงพยัญชนะ  เล่นเสียงสระ  และเล่นเสียงวรรณยุกต์
                ๒.  การเล่นคำ  คือการสรรคำมาเรียงร้อยในคำประพันธ์  โดยพลิกแพลงให้เกิดความหมายพิเศษและแปลกออกไปจากที่ใช้กันอยู่  เพื่ออวดฝีมือของกวีเช่นเดียวกับการเล่นเสียง  ที่กล่าวถึงในที่นี้คือการเล่นคำพ้อง  การเล่นคำซ้ำ  และการเล่นคำเชิงถาม
                ๓.  การใช้ภาพพจน์  คือการใช้ถ้อยคำเพื่อจินตภาพ  (ภาพในใจ)  แก่ผู้อ่านโดยการเรียบเรียงถ้อยคำด้วยวิธีการต่างๆ  ให้พิเศษกว่าการเรียงลำดับคำหรือการใช้ความหมายของคำตามปกติ
  *** รู้หรือไม่ !!! 
           วรรณคดีที่ได้รับการยกย่อง ได้แก่ 
               1 ลิลิตพระลอ                                >>>                       ( ยอดของกลอนลิลิต )
               2 สมุทรโฆษคำฉันท์                   
>>>                       ( ยอดของวรรณกรรมคำฉันท์ )
               3 มหาชาติกลอนเทศน์               
>>>                       ( ยอดของวรรณกรรมคำกาพย์ )
              4 สามก๊ก                                        
>>>                       ( ยอดของความเรียงนิทาน )
              5 เสภาขุนช้างขุนแผน                
>>>                       ( ยอดของกลอนสุภาพ )
              6 บทละครเรื่องอิเหนา                
>>>                       ( ยอดของกลอนบทละครรำ )
              7 พระราชพิธีสิบสองเดือน        
>>>                       ( ยอดของความเรียงอธิบาย )
              8 หัวใจนักรบ                                
>>>                       ( ยอดของบทละครพูด )
              9 มัทนะพาธา                                
>>>                       ( ยอดของบทละครพูดคำฉันท์ )
           10 พระนลคำหลวง                         
>>>                       ( หนังสือดีและแต่งดีในกวีนิพนธ์ )

อิศรญาณภาษิต

อิศรญาณภาษิต

 

ผู้แต่ง : หม่อมเจ้าอิศรญาณ
              หม่อมเจ้าอิศรญาณเป็นโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ พระองค์ทรงผนวชที่วัดบวรนิเวศ ได้พระนามฉายาว่า "อิสสรญาโณ" มีพระชนม์ชีพอยู่ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลักษณะคำประพันธ์ : กลอนเพลงยาว ซึ่งขึ้นต้นด้วยวรรคสดับ(มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเพลงยาวอิศรญาณหรือภาษิตอิศรญาณ) 
จุดมุ่งหมายในการแต่ง : เพื่อสั่งสอนเตือนใจให้ฉุกคิด ก่อนที่จะทำสิ่งใดและสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในสังคมเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
เนื้อเรื่อง : อิศรญาณภาษิตมีเนื้อหาที่เป็นคำสั่งสอนแบบเตือนสติ และแนะนำเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติให้เป็นที่พอใจของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจมากกว่า สอนว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ในสังคมได้โดยปราศจากภัยแก่ตน ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จสมหวังบางตอนก็เน้นเรื่องการเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้อื่นโดยไม่สบประมาทหรือดูแคลนกัน โดยทั้งนี้การสอนบางครั้งอาจเป็นการบอกตรงๆ หรือบางครั้งก็สอนโดยคำประชดประชันเหน็บแนม เนื้อหาส่วนใหญ่จะสั่งสอนให้คนมีปัญญา ไม่หลงใหลกับคำเยินยอ สอนให้รู้จักคิดไตร่ตรองก่อนพูด รู้จักเคารพผู้อาวุโส รู้จักทำตามที่ผู้ใหญ่แนะนำรู้จักกตัญญูผู้ใหญ่ 
จุดประสงค์การแต่ง :
      ๑ เพื่อสั่งสอน
     ๒ เพื่อเตือนใจให้คิดก่อนที่จะทำสิ่งใด
      ๓ สอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในสังคมให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข 
คุณค่างานประพันธ์ :
      ๑ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ มาเรียงร้อยได้เหมาะเจาะและมีความหมายลึกซึ้ง
     ๒ คุณค่าด้านสังคม ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตเพื่อดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 

# # #  ถอดความ ตามแบบฉบับ # # #
 
 
บทที่ ๑
                                                           อิศรญาณชาญกลอนอักษรสาร
เทศนาคำไทยให้เป็นทาน                  โดยตำนานศุภอรรถสวัสดี 
คำศัพท์ สำนวน
       ตำนาน       หมายถึง       คำโบราณ
       ศุภอรรถ     หมายถึง       ถ้อยคำและความหมายที่ดี
       สวัสดี         หมายถึง       ความดี ความงาม  
ถอดความได้ว่า
       หม่อมเจ้าอิศรญาณผู้ทรงเชี่ยวชาญในเชิงกลอนทรงนิพนธ์คำกลอนสุภาษิตโบราณ สั่งสอนเตือนใจไว้เพื่อเป็นทาน



บทที่ ๒
       สำหรับคนเจือจิตจริตเขลา                        ด้วยมัวเมาโมห์มากในซากผี
ต้องหาม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี                              สำหรับขี่เป็นม้าอาชาไนย  
คำศัพท์ สำนวน
    เจือ              หมายถึง       เอาส่วนที่มีน้อยไปประสมลงไปในส่วนมาก
       จริต             หมายถึง       กิริยาอาการ หรือแสดงความประพฤติ
       โมห์            หมายถึง       ความลุ่มหลง
       ซากผี          หมายถึง       ร่างกายของคนที่ตายแล้ว
       อาชาไนย   หมายถึง       กำเนิดดี  พันธุ์ หรือตระกูลดี  ฝึกหัดมาดีแล้ว
       ม้ามโนมัย   หมายถึง       ในบทนี้หมายถึงใจที่รู้เท่าทันกิเลสจะได้เป็นพาหนะไปสู่ความสำเร็จ
ถอดความได้ว่า
       สำหรับคนที่โง่เขลาเบาปัญญาที่ไปลุ่มหลงในความชั่วต้องฝึกใจให้รู้เท่าทันกิเลส คือ เอาใจเป็นนายบังคับใจตัวเองให้อยู่เหนือกิเลส เพื่อจะ ได้เป็นพาหนะไปสู่ความสุข 

บทที่ ๓
       ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า                        น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตดูเล่าเขาก็ใจ                                                                รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ
คำศัพท์ สำนวน
       อัชฌาสัย                         หมายถึง       กิริยาดี  นิสัยใจคอ ความรู้จักผ่อนปรน
       น้ำพุ่งเรือ เสือพึ่งป่า      หมายถึง      พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ถอดความได้ว่า
       ผู้ชายกับผู้หญิงนั้นต่างกันดังข้าวเปลือกกับข้าวสาร(โบราณเขาเปรียบเทียบว่า ผู้ชายเปรียบเสมือนข้าวเปลือกตกที่ไหนก็เจริญงอกงามที่นั่น ส่วน ผู้หญิงก็เปรียบเสมือนข้าวสาร ตกที่ไหนมันไม่สามารถเจริญงอกงามได้ข้าวสาร)แต่เมื่ออยู่ในสังคมเดียวกันก็ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกันเป็นธรรมดา เราก็มีมิตรจิตเขาก็มีมิตรใจฉะนั้นเรารักกันดีกว่าเกลียดกัน
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง           
       ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสาร , น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า , รักกันดีกว่าชังกัน , มิตรจิตรมิตรใจ
 


บทที่ ๔
       ผู้ใดดีดีต่ออย่าก่อกิจ                                 ผู้ใดผิดผ่อนพักอย่าหักหาญ
สิบดีก็ไม่ถึงกับกึ่งพาล                                   เป็นชายชาญอย่าเพ่อคาดประมาทชาย
คำศัพท์ สำนวน
       ผู้ใดดีดีต่ออย่าก่อกิจ                 หมายถึง   อย่าก่อเรื่อง
       ผู้ใดผิดผ่อนพักอย่าหักหาญ   หมายถึง    ผู้ที่ทำไม่ถูกต้องก็ไม่ควรโกรธหรือตัดรอนจนแตกหัก
สิบดีก็ไม่ถึงกับกึ่งพาล           หมายถึง   ทำดีสิบหนไม่เท่ากับทำชั่วเพียงครึ่งหนความดีก็จะหมดไป
ถอดความได้ว่า
      ผู้ใดทำดีต่อเราเราก็ควรทำดีต่อเขาตอบ ผู้ใดที่ทำไม่ดีต่อเราหรือทำไม่ถูกต้องก็ไม่ควรโกรธหรือตัดรอนจนแตกหัก ทำความดีสิบครั้ง ก็ไม่เท่าทำความชั่วครึ่งครั้ง คือ ความชั่วจะทำลายความดีลงจนหมดสิ้น เป็นชายนั้น ไม่ควรดูถูกชายด้วยกัน
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       คนล้มอย่าข้าม    หมายถึง  คนที่ตกต่ำไม่ควรลบหลู่ดูถูก เพราะอาจจะกลับมาเฟื่องฟูได้อีก


บทที่ ๕
       รักสั้นนั้นให้รู้อยู่เพียงสั้น                รักยาวนั้นอย่าให้เยิ่นเกินกฎหมาย
มิใช่ตายแต่เขาเราก็ตาย                        แหงนดูฟ้าอย่าให้อายเทวดา
คำศัพท์ สำนวน
       เยิ่น   หมายถึง    ยาวนานออกไป
ถอดความได้ว่า
       รักจะอยู่ด้วยกันสั้น เพราะทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันนาน ๆ จงทำความดี อย่าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือทำชั่ว ทุกคนต้องตายด้วยกันทั้งนั้น  จงทำความดีไว้เถิด เวลาที่แหงนดูฟ้าจะได้ไม่อายเทวดา
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ  หมายถึง  คิดจะคบหากันให้ยั่งยืนให้บั่นเอาส่วนที่เสียๆของกันและกันออกไป แต่จะให้มิตรภาพสั้นลงก็ให้ต่อความยาวสาวความเพ่งโทษต่อกันนั่นเอง
*** รู้หรือไม่
รักยาว  คือ  ต้องการให้เรื่องเป็นไปโดยราบรื่น ไม่ติดขัด ไม่สะดุดจะเป็นการดำเนินธุรกิจ การคบเพื่อน การปฏิบัติงาน  
                     หรือเรื่องอะไรก็ตาม
ให้บั่น  คือ  ให้ตัดหรือทอนส่วนที่ขัดข้อง ความกินแหนงแคลงใจเรื่อเล็กน้อยนั้นเสีย ไม่ต้องถือ เป็นอารมณ์
รักสั้น  คือ  ต้องการให้เรื่องสิ้นสุดแค่นั้น แตกหักหรือดำเนินต่อไม่ได้
ให้ต่อ  คือ  ให้ต่อความยาวสาวความยืดต่อไป ให้นำมาพิจารณาให้ถกเถียง ให้ถือเอา ให้ว่ากันต่อไป 
บทที่ ๖
       อย่าดูถูกบุญกรรมว่าทำน้อย                     น้ำตาลย้อยหยดเท่าไรได้หนักหนา
อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา               ส่องดูหน้าเสียทีหนึ่งแล้วจึงนอน
คำศัพท์ สำนวน
       อย่านอนเปล่า     หมายถึง     อย่าเข้านอนเฉยๆ ในที่นี้หมายถึงให้คิดการกระทำของตน
       น้ำตาลย้อยหยดเท่าไรได้หนักหนา    หมายถึง   การสะสมความดีทีละน้อย
ถอดความได้ว่า
       อย่าดูถูกความดีหรือความชั่ว ว่าทำเพียงเล็กน้อยเพราะมันจะสะสมไปเรื่อย ๆ และมากขึ้นทุกทีเวลาก่อนจะนอนให้ส่องกระจกดูหน้าตนเอง ว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เหมือนเป็นการให้สำรวจจิตใจตนเองอยู่เป็นนิจว่าคิดใฝ่ดีอยู่หรือเปล่า  เพื่อจะได้เตือนตนไว้ได้ทัน
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       จงเตือนตนด้วยตนเอง
บทที่ ๗
       เห็นตอหลักปักขวางหนทางอยู่            พิเคราะห์ดูควรทึ้งแล้วจึงถอน
เห็นเต็มตาแล้วอย่าอยากทำปากบอน            ตรองเสียก่อนแล้วจึงทำกรรมทั้งมวล
คำศัพท์ สำนวน
       ปากบอน   หมายถึง    นำความลับหรือเรื่องที่ไม่ควรพูดไปบอกผู้อื่น
       ทึ้ง             หมายถึง    ดึง  ถอน
ถอดความได้ว่า
       เห็นสิ่งใดกีดขวางทางอยู่ จงพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะเก็บ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ และเมื่อไป
เห็นการกระทำของใคร อย่าเที่ยวทำปากบอนไปบอกแก่คนอื่น อาจนำผลร้ายมาสู่ตนเองได้
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       คิดก่อนพูด แต่อย่าพูดก่อนคิด


บทที่ ๘
       ค่อยดำเนินตามไต่ผู้ไปหน้า                 ใจความว่าผู้มีคุณอย่าหุนหวน
เอาหลังตากแดดเป็นนิจคิดคำนวณ              รู้ถี่ถ้วนจึงสบายเมื่อปลายมือ
คำศัพท์ สำนวน
       ผู้ไปหน้า           หมายถึง    คนที่เกิดก่อนย่อมมีความรู้และประสบการณ์มากกว่า
       หุนหวน             หมายถึง    หวน  เวียนกลับ
       คิดคำนวณ        หมายถึง    คิดไตร่ตรอง
       หลังตากแดด     หมายถึง    ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักอย่างชาวนา ทำให้หลังถูกแดด
       เมื่อปลายมือ      หมายถึง    ในภายหลัง
ถอดความได้ว่า
       ให้ประพฤติปฏิบัติตนตามผู้ใหญ่  ซึ่งเป็นผู้ที่เกิดก่อน ย่อมมีความรู้และประสบการณ์มากกว่า และอย่าเป็นคนอกตัญญู จงมีความขยันหมั่นเพียรทำงานอยู่เสมอแล้วจะมีความสุขสบายในภายหลัง
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด   หมายถึง   ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย
       หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน              หมายถึง   ที่ต้องตรากตรำทำงานหนัก มักหมายถึงชาวไร่ชาวนาซึ่งในเวลาทำไร่ทำนาหลังต้องสู้กับแดด และหน้าต้องก้มลงดิน
 
 
บทที่ ๙
       เพชรอย่างดีมีค่าราคายิ่ง                     ส่งให้ลิงจะรู้ค่าราคาหรือ
ต่อผู้ดีมีปัญญาจึงหารือ                              ให้เขาลือเสียว่าชายนี้ขายเพชร
คำศัพท์ สำนวน
       หารือ                                          หมายถึง   ขอความเห็น  ปรึกษา
       ให้เขาลือว่าชายนี้ขายเพชร   หมายถึง   ให้เขาลือว่าตนเองมีปัญญามากพอที่จะอวดได้
ถอดความได้ว่า
       เพชรเป็นของที่มีค่ามีราคา อย่านำสิ่งที่มีค่าไปให้แก่ผู้ไม่รู้ค่าย่อมไร้ประโยชน์ ฉะนั้นควรไปปรึกษาหารือกับนักปราชญ์ หรือผู้รู้ เท่านั้น เพื่อให้คนเขาร่ำลือว่า ตนเองมีปัญญาราวกับมีเพชรมากพอที่จะอวดได้
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       ยื่นแก้วให้วานร   หมายถึง   เอาของมีค่าให้กับผู้ที่ไม่รู้คุณค่าของ ของสิ่งนั้น
       ลิงได้แก้ว              หมายถึง    ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งมีค่าที่ได้มาหรือที่มีอยู่ มีความหมายเดียวกับ  คำว่า  ไก่ได้พลอย  และ 
                                                          หัวล้านได้หวี
บทที่ ๑๐
       ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า             ใครใดเล่าจะไม่งามตามเสด็จ
จำไว้ทุกสิ่งจริงหรือเท็จ                                           พริกไทยเม็ดนิดเดียวเดี๋ยวก็ร้อน
 คำศัพท์ สำนวน
       เจ้า  หมายถึง  พระเจ้าแผ่นดิน หรือผู้เป็นใหญ่
               
ถอดความได้ว่า
       ของสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าเป็นสิ่งดีหรือสิ่งที่สวยงาม เราก็ต้องว่างามตามไปด้วย  ไม่ว่าจะ จริงหรือไม่จริง เราไม่ควรไปคัดค้านเพราะท่าน เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดอาจกริ้วได้
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       เห็นดีเห็นงาม        หมายถึง  คิดหรือรู้สึกคล้อยตาม
       ลูกขุนพลอยพยัก  หมายถึง  ผู้ที่คอยว่าตามหรือเห็นด้วยกับผู้ใหญ่เป็นเชิงประจบสอพลอเป็นต้น
       น้ำท่วมปาก           หมายถึง  พูดไม่ออกเพราะอาจจะมีภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
บทที่ ๑๑
       เกิดเป็นคนเชิงดูให้รู้เท่า                        ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน
อยากใช้เขาเราต้องก้มประนมกร                  ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ
คำศัพท์ สำนวน
       ห่อน          หมายถึง         ไม่ ไม่เคย
       มอ             หมายถึง         สีมัว ๆ อย่างสีดำเจือเทา
       วัวมอ          หมายถึง         วัวตัวผู้
       ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ  หมายถึง ไม่มีใครว่าตนเป็นวัวให้คนอื่นเขาใช้งาน
ถอดความได้ว่า
      เกิดเป็นคนต้องรู้เท่าทันใจของตนเอง คือต้องสอนใจตนเองหรือเตือนตนเองได้ และถ้าจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใด เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะไม่มีใครที่จะคิดว่าตนเป็นวัวให้คนอื่นใช้งาน
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       จงเตือนตนด้วยตนเอง
บทที่ ๑๒
       เป็นบ้าจี้นิยมชมว่าเอก                          คนโหยกเหยกรักษายากลำบากหมอ
อันยศศักดิ์มิใช่เหล้าเมาแต่พอ                        ถ้าเขายอเหมือนอย่างเกาให้เราคัน
คำศัพท์ สำนวน
       บ้าจี้                หมายถึง        บ้ายอ
       โหยกเหยก   หมายถึง        ไม่อยู่กับร่องรอย ไม่แน่นอน
ถอดความได้ว่า
      คนบ้ายอชอบให้คนเขานิยมยกย่องเปรียบเหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอย ซึ่งแก้ไขได้ยาก  อันว่ายศ หรือตำแหน่ง นั้น มันไม่ใช่เหล้าจงเมาแต่พอควร อย่าไป ยึดติด หลงยศหลงตำแหน่ง  คำป้อยอต่าง ๆ นั้น ถ้าเราหลงเชื่อ อาจทำให้เราเดือดร้อนได้
บทที่ ๑๓
        บ้างโลดเล่นเต้นรำทำเป็นเจ้า              เป็นไรเขาไม่จับผิดคิดดูขัน
ผีมันหลอกช่างผีตามทีมัน                                        คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนัก
 คำศัพท์ สำนวน                    
       ทำเป็นเจ้า        หมายถึง         ทำทีว่าถูกเจ้าเข้าสิง
ถอดความได้ว่า
       บางคนทำทีว่าถูกผีเข้าสิง  คือพวกทรงเจ้าเข้าผี ทำไมไม่มีใครจับ ดูไปก็น่าหัวเราะถ้าเป็นผีจริงมันหลอกก็ช่างมันเถิด แต่นี่คนมาหลอกกันเองมันน่ากลัวที่สุด ฉะนั้นจึงควรแยกแยะให้ดี อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาไม่เห็น เพราะทีเห็นนั้นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
บทที่ ๑๔
       สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปล้ม            จะเรียนคมเรียนไปเถิดอย่าเปิดฝัก
คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก                                      ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา
คำศัพท์ สำนวน
       คนสามขา         หมายถึง       คนแก่ที่ถือไม้เท้า
       เรียนคม            หมายถึง       เรียนเพื่อหาวิชาความรู้
       อย่าเปิดฝัก       หมายถึง       อย่าโอ้อวด
ถอดความได้ว่า
       จะสร้างสิ่งใดให้สูงก็อย่าสร้างเกินว่าฐานที่จะรับน้ำหนักไว้ได้ เพราะจะทำให้ล้มง่าย(สอนให้รู้จักประมาณ ตน ไม่ให้ทำอะไรเกินฐานะของตนเอง)
       จะเรียนวิชาอะไรให้มีสติปัญญา เฉียบแหลม ก็เรียนเถิด แต่ให้เก็บความรู้ไว้ใช้เมื่อถึงเวลาอันสมควร      (สอนให้เป็นคนใฝ่รู้แต่อย่าอวดรู้)
       คนแก่มีประสบการณ์มากเราควรเชื่อฟังคำทักท้วง(สอนให้เห็นความสำคัญของผู้มีอาวุโส)
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       คมในฝัก    หมายถึง  คนที่เขาฉลาดจริงๆ เขาไม่โอ้อวด     
บทที่ ๑๕
       เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด                ไปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา
ใครทำตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา                                 นักเลงเก่าเขาไม่หาญพาลนักเลง
คำศัพท์ สำนวน              
       นักเลงเก่า  หายถึง    ผู้ที่เป็นนักเลง
ถอดความได้ว่า
       ประพฤติตนตามแนวทางที่ผู้ใหญ่เคยทำมาก่อนแล้วย่อมปลอดภัย ไม่ควรไปพูดขัดคอคน เพราะจะทำให้เขาโกรธไม่พอใจ ให้รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา นักเลงเก่าเขาไม่รังแกหรือทำร้ายนักเลงด้วยกัน
 สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด  หมายถึง  ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย
       รู้ยาวรู้สั้น                             หมายถึง   รู้จักผ่อนปรน  รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว  
บทที่ ๑๖
       เป็นผู้หญิงแม่หม้ายที่ไร้ผัว                   ชายมักยั่วทำเลียบเทียบข่มเหง
ไฟไหม้ยังไม่เหมือนคนที่จนเอง                 ทำอวดเบ่งกับขื่อคาว่ากระไร
คำศัพท์ สำนวน
       ทำเป็นเลียบ      หมายถึง   พูดจาแทะโลม
       คนที่จนเอง       หมายถึง   คนที่ทำตัวให้จนเอง
       ขื่อคา หมายถึง   เครื่องจองจำนักโทษ ทำด้วยไม้ มีช่องสำหรับสอดมือเท้าแล้วมีลิ่มตอกกำกับกันขื่อหลุด
ถอดความได้ว่า
       ผู้ที่เป็นหญิงหม้ายมักถูกผู้ชายพูดจาแทะโลม  เหมือนกับถูกข่มเหง คนที่จนเพราะถูกไฟไหม้ ยังน่าสงสาร หรือดีกว่าตนเองที่ทำตัวเองให้จน (จนเพราะเล่นการพนัน) และอย่าอวดเก่งกับขื่อคาที่เป็นเครื่องจองจำ (อย่า แสดงอำนาจโอ้อวดทำสิ่งที่ท้าทายกับบทลงโทษ)
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       เล่นกับคุกกับตาราง

บทที่ ๑๗
       อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก         ไปมาผลักย่อยเข้าเสายังไหว
จงฟังหูไว้หูคอยดูไป                                                เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ
คำศัพท์ สำนวน
       ฟังหูไว้หู                          หมายถึง       รับฟังไว้แต่ไม่เชื่อทั้งหมด
       เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ   หมายถึง       เป็นคนหนักแน่นไม่ฟังคำยุแหย่
ถอดความได้ว่า
       แม้จะมั่นคงดังเสาหินใหญ่สูงแปดศอก แต่เมื่อถูกผลักบ่อย ๆ เข้า เสานั้นก็อาจคลอนแคลนได้ เปรียบเหมือนใจคนย่อมอ่อนไหวไปตามคำพูด ของผู้อื่นได้ ฉะนั้น จึงควรฟังหูไว้หู และคิดให้รอบคอบก่อนที่จะเชื่อใคร (สอนให้มีใจคอหนักแน่นไม่หลงเชื่อยุยงโดยง่าย ให้รู้จักไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่ จะคล้อยตามคำพูดของผู้อื่น)
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       ฟังหูไว้หู       หมายถึง       รับฟังไว้แต่ไม่เชื่อทั้งหมด 
 

บทที่ ๑๘
      หญิงเรียกแม่ชายเรียกพ่อยอไว้ใช้         มันชอบใจข้างปลอบไม่ชอบดุ
ที่ปิดที่ชิดไขให้ทะลุ                                คนจักษุเหล่หลิ่วไพล่พลิ้วพลิก
คำศัพท์ สำนวน
       ไพล่พลิ้วพลิก         หมายถึง        ให้รู้จักหลีกเลี่ยง พูดตรงทำให้เสียน้ำใจ
       หลิ่ว                          หมายถึง        เดี่ยว  หนึ่ง
ถอดความได้ว่า
       เมื่อเวลาจะใช้ใครให้รู้จักพูดจาโดยใช้ถ้อยคำที่อ่อนหวาน ซึ่งใคร ๆ ก็ชอบ ไม่ควรใช้คำดุด่าว่ากล่าว  สิ่งใดที่ปล่อยปละละเลย หรือฟุ่มเฟือยก็ต้องเข้มงวดกวดขันหรือประหยัดถี่ถ้วนขึ้นสิ่งใดที่เข้มงวดตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินไป จะต้องแก้ไขทำให้สะดวก หรือคล่องตัวขึ้น และจงประพฤติตน ตาม ที่คนส่วนใหญ่เขาประพฤติกัน
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       น้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตาย
บทที่ ๑๙
       เอาปลาหมอเป็นครูดูปลาหมอ             บนบกหนออุตส่าห์เสือกกระเดือกกระดิก
เขาย่อมว่าฆ่าควายเสียดายพริก                     รักหยอกหยิกยับทั้งตัวอย่ากลัวเล็บ
คำศัพท์ สำนวน
       เอาปลาหมอเป็นครูดูปลาหมอ  หมายถึง มีความอดทนต่อความยากลำบาก
 
ถอดความได้ว่า
       จงดูปลาหมอไว้เป็นครูสอนใจเรา แม้ปลาหมอจะถูกปล่อยไว้บนบก มันก็ยังกระเสือกกระสนเพื่อจะเอาชีวิตรอด  ฉะนั้นคนเราจึงไม่ควรพ่ายแพ้แก่อุปสรรค  ต้องดิ้นรนขวนขวายต่อสู้ชีวิตต่อไป
 สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       ฆ่าควายเสียดายพริก   หมายถึง  ทำการใหญ่ไม่ควรตระหนี่
       ปลาหมอแตกเหงือก    หมายถึง  กระเสือกกระสนดิ้นรน
บทที่ ๒๐ 
       มิใช่เนื้อเอาเป็นเนื้อก็เหลือปล้ำ            แต่หนามคำเข้าสักนิดกรีดยังเจ็บ
อันโลภลาภบาปหนาตัณหาเย็บ                   เมียรู้เก็บผัวรู้กำพาจำเริญ
คำศัพท์ สำนวน 
       เนื้อ(ในที่นี้)      หมายถึง   เนื้อคู่
       ตัณหา                 หมายถึง   ความทะยานอยาก  ความใคร่ในกาม
ถอดความได้ว่า
       คนเราถ้าไม่ใช่เนื้อคู่กัน อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์อาจจะมีเรื่องราวกัน ไม่ผิดอะไรกับถูกหนามตำเข้านิดเดียว    ก็เกิดอาการเจ็บปวด ความโลภเป็นบาปทำให้เกิดความอยาก สามีภรรยาคู่ใดถ้าภรรยารู้จักออมรู้จักเก็บ สามีรู้จักทำหากินก็จะทำให้ชีวิตที่สมบูรณ์
 สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       ผัวหาบเมียคอน
       ชายหาบหญิงคอน
 
บทที่ ๒๑
       ถึงรู้จริงจำไว้อย่าไขรู้                            เต็มที่ครู่เดียวเท่านั้นเขาสรรเสริญ
ไม่ควรก้ำเกินหน้าก็อย่าเกิน                         อย่าเพลิดเพลินคนชังนักคนรักน้อย
คำศัพท์ สำนวน  
       ก้ำเกิน           หมายถึง     ล่วงเกิน  เกินเลย
       ก้ำเกินหน้า    หมายถึง     เด่นกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่น
ถอดความได้ว่า
       แม้ว่าเราจะรู้จริง เราก็ไม่ต้องอวดว่าเรารู้ เดี๋ยวเขาก็จะสรรเสริญเอง ไม่ควรทำอะไรเกินหน้าเกินตาคนอื่นเพราะคนเกลียดเรามีมากกว่าคนรักเรา
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       เกินหน้าเกินตา
       คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ
       คนชังมีนัก คนรักมีน้อย
บทที่ ๒๒
       วาสนาไม่คู่เคียงเถียงเขายาก                  ถึงมีปากมีเสียเปล่าเหมือนเต่าหอย
ผีเรือนตัวไม่ดีผีอื่นพลอย                             พูดพล่อย ๆ ไม่ดีปากขี้ริ้ว
 คำศัพท์ สำนวน
       ผีเรือน               หมายถึง   ผีที่อยู่ประจำเรือน
       พูดพล่อย ๆ        หมายถึง   อาการที่พูดง่าย ๆ โดยไม่ตริตรอง
       ปากขี้ริ้ว             หมายถึง   คำพูดที่ไม่สุภาพ
ถอดความได้ว่า
       ถ้าไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เสมอเขา ไปโต้เถียงกับเขาก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครเชื่อ  คนในบ้านนั่นแหละเป็นใจช่วยให้คนนอกบ้านเข้า มาทำความเสียหาย การพูดพล่อย ๆ โดยไม่คิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
 สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       ผีบ้านไม่ดีผีป่าก็พลอย
       ปลาหมอตายเพราะปาก 
บทที่ ๒๓
       แต่ไม้ไผ่อันหนึ่งตันอันหนึ่งแขวะ                      สีแหยะแหยะตอกตะบันเป็นควันฉิว
ช้างถีบอย่าว่าเล่นกระเด็นปลิว                                   แรงหรือหิวชั่งใจดูจะสู้ช้าง
คำศัพท์ สำนวน
       แขวะ                  หมายถึง    เอาของมีคมแขวะคว้านให้กว้าง
       แหยะแหยะ      หมายถึง    ช้า ๆ
       ตะบัน                 หมายถึง    ทิ่ม หรือแทง หรือกดลงไป
       แรง                      หมายถึง    มีกำลัง
       หิว                        หมายถึง     อ่อนแรง  หมดแรง
ถอดความได้ว่า
       แม้ไม้ไผ่อันหนึ่งตัน กับอีกอันหนึ่งผ่าครึ่งออก  เมื่อนำมาสีกันเบา ๆ อาจเกิดควันได้ ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาทการกระทำที่ดูเหมือนจะไม่ เป็นพิษเป็นภัย  ช้างเป็นสัตว์ที่มีพลังเมื่อมันถีบเรารับรองว่ากระเด็นแน่นอน ฉะนั้นหากจะสู้กับช้างก็ควรประเมินกำลังของเราเสียก่อนว่าอยู่ในภาวะใดมีกำลัง หรือ อ่อนแรง  จะเตรียมสู้ หรือหนีดูให้เหมาะแก่สถานการณ์
 สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       ไม้ซีกงัดไม้ซุง
 
บทที่ ๒๔
       ล้องูเห่าก็ได้ใจกล้ากล้า                                 แต่ว่าอย่ายักเยื้องเข้าเบื้องหาง
ต้องว่องไวในทำนองคล่องท่าทาง                    ตบหัวผางเดียวม้วนจึงควรล้อ
 คำศัพท์ สำนวน
       ยักเยื้อง     หมายถึง เลี่ยงไป  ไม่ตรงไปตรงมา
ถอดความได้ว่า
       การล้อเล่นกับงูเห่าซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอันตรายมาก ทำได้ แต่ต้องเป็นคนใจกล้า แต่อย่าไปเข้าข้างหางเพราะอาจเกิดอันตรายได้ และต้องทำด้วยความว่องไวอย่างเด็ดขาดทันที จึงจะไม่ตกอยู่ในฐานะที่เพลี่ยงพล้ำ
 สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง
       จับงูข้างหาง  คือ   ทําสิ่งที่เสี่ยงต่ออันตราย 

 
บทที่ ๒๕ 
       ถึงเพื่อนฝูงที่ชอบพอขอกันได้              ถ้าแม้ให้ทุกคนกลัวคนขอ
พ่อแม่เลี้ยงปิดปกเป็นกกกอ                       จนแล้วหนอเหมือนเปรตด้วยเหตุจน
คำศัพท์ สำนวน
       ปิดปกเป็นกกกอ  หมายถึง      โอบอุ้มทะนุถนอมไว้
        เปรต                      หมายถึง       อมนุษย์จำพวกหนึ่ง
ถอดความได้ว่า
       การจะขออะไรกับเพื่อนฝูงที่ชอบพอกันก็สามารถขอกันได้  แต่จะให้ทุกคนที่ขอคงไม่ได้พ่อแม่เลี้ยงดูทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี  ถ้าหากเป็นคนจนก็จะเหมือนเปรตที่เที่ยวขอส่วนบุญ
สุภาษิตที่เกี่ยวข้อง
       เปรตขอส่วนบุญ
       ตนเป็นที่พึ่งของตน
       พึ่งลำแข้งตัวเอง
บทที่ ๒๖
       ถึงบุญมีไม่ประกอบชอบไม่ได้              ต้องอาศัยคิดดีจึงมีผล
บุญหาไม่แล้วอย่าได้ทะนงตน                                   ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน
คำศัพท์ สำนวน
       ปุถุชน    หมายถึง    สามัญชน  คนที่ยังมีกิเลส
ถอดความได้ว่า
       ถึงมีบุญวาสนา ไม่ทำการงานใด ๆ ก็ไม่ดีต้องเป็นผู้ที่คิดดี ทำดีบุญจึงส่งผล เมื่อหมดบุญลงแล้วอย่าทะนงตนว่าเป็นผู้มีบุญบารมี ขอให้คนเราคิดว่าความรักความชังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนเท่าการทำความดี
สุภาษิต สำนวน ที่เกี่ยวข้อง        
       ทำดีได้ดี